มีผู้รู้ในอดีต
กล่าวไว้ถึง การดูคน
เมื่อเราอยากดูเบื้องลึกในใจ
ให้ ดูยามขึ้นสู่ที่สูง ไม่ควรดูยามอยู่เบื้องล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจะดูเบื้องลึกในใจผู้คน ให้มองยามเขาเหล่านั้นได้เสพอำนาจยศศักดิ์ ว่าเมื่อถึงยามนั้นยังคงมีสติเพียงพอจะประคับประคองชีวิตได้มากน้อยเพียงใด หรือกระทั่งหลงมัวเมาในทุกลมหายใจ ว่าเขาเหล่านั้นยิ่งใหญ่คับบ้านคับเมือง
อำนาจล้วนเป็นสิ่งแปลกประหลาด
แปร ได้หลายสสารแวดล้อม
แต่ยังคงสถานะชัดเจน
เมื่อ ยามใครเสพอำนาจเหล่านั้น ปรากฎการณ์ของเบื้องลึกความจริงในใจ มักเผยธาตุแท้แสดงตนออกมาอย่างมิอาจปิดบังอำพราง แม้วันเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปมากน้อยเพียงใด อำนาจเหล่านั้นก็ยังคงทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของตน เสมือนหนึ่งเครื่องพิสูจน์ใจผู้คน
ในความจริงแห่ง อำนาจ
ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่คับใจผู้ชนะไปได้
ไม่มีสิ่งใดจะมากกว่ากฎเกณฑ์ของผู้ชนะ
เมื่อเขา เหล่านั้นตั้งใจจะออกแบบทุกอย่าง พร้อมวางกติกาแห่งความจริง ให้ดวงดาวและจักรวาลหมุนรอบตัวเขา เพราะเขาคือศูนย์กลางของทุกสิ่ง ทุกอย่างล้วนหมุนรอบชีวิตและลมหายใจของเขา จนความจริงปรากฎด้วยความแปรเปลี่ยน เมื่ออำนาจหมดสิ้นคลายมนต์มายา พร้อมจักรวาลดวงดาวซึ่งเริ่มไม่โคจร และคำตอบของผู้แพ้จะเริ่มแทนที่
ยามนั้นความจริงชีวิตจะปรากฎกายขึ้นเบื้องหน้า
ว่าชีวิตของผู้ชนะก็ไม่ต่างจากผู้แพ้
ในกลางวงจรชีวิตเดียวกัน
แต่สำหรับมุมมองชีวิตของผู้ ชนะ ความจริงในการพิสูจน์กิเลสตัณหา หรือค้นหาคำตอบสุดท้ายของความทะยานอยาก เพื่อฉกฉวยวันวัยแห่งชัยชนะ ล้วนเป็นสิ่งเย้ายวนนำพาไปสู่การขีดเขียนชีวิต พยายามขีดเส้น และกำหนดระยะก้าวด้วยตนเอง เพื่อบอกให้รู้ว่าชีวิตนี้จะทำ หรือจะพิสูจน์สิ่งที่ต้องการจะกระทำ ด้วยความฝังใจบางประการ
ใช่ว่าชัยชนะจะไร้เหตุผล
ความจริงใน ชีวิต เมื่อมนุษย์ต้องต่อสู้
เมื่อมนุษย์ต้อง การก้าวผ่านขีดจำกัดของร่าง
มนุษย์จึงได้สร้างอารยธรรม และก้าวพ้นความแปลกแยกของตน แปลกแยกจากธรรมชาติแวดล้อมโดยทั่วไป ไปสู่การฝึนทุกสิ่งอย่าง รหัสแห่งชัยชนะจึงฝังรวมในตัวเรา เหมือนเป็นลมหายใจที่รอวันเวลาใช้งาน จะดื้อหรือฝืนชีวิตกับสิ่งแวดล้อมเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับเบื้องลึกและเนื้อในใจ
การเสพอำนาจจนหลง ระเริงไม่ใช่จุดสิ้นสุด
หากเราวัดชีวิตด้วยลม หายใจ
ตั้งแต่แรกจนจบ
อำนาจก็เฉก เช่นกัน ล้วนเป็นสิ่งซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว หากแต่สัมพันธ์กับความจริงของโลก เมื่อยามมีขึ้นก็มีลง สลับสับเปลี่ยนวงจรแห่งชีวิตต่อเนื่องกันไป ตราบเท่าที่ลมหายใจยังไม่หมดลง และเราก็ยังคงได้เห็นความเชื่อมโยงสัมพันธ์ เช่นนี้กันต่อไป
หากไม่นับรวม
ถึงผู้คนที่ ล้อมหน้าล้อมหลัง
ผู้คนที่กว่าจะกล่าวสิ่งใด ต้องยืนกุมมือ
ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยอาการคอพับคออ่อน ค่อยผงกหัวเห็นด้วยในทุกระยะ จะกระทำสิ่งใดก็มีผู้คนสนอกสนใจ หันซ้ายหันขวาก็มีผู้คนรีบวิ่งเข้ามาซักถาม ก่อนถามว่าท่านปรารถนาสิ่งใด หรือแม้แต่กระแอมในลำคอเพียงเบา ก็จะมีเสียงตอบรับว่าต้องการสิ่งใด เป็นความประหลาดให้รู้สึกถึงความแตกต่าง
เมื่อยามมี อำนาจหรือเมื่อยามหมดอำนาจ
ผู้รู้ในอดีตอีก เช่นกันที่ต่างค้นหา
ถึงทางออกแห่งวังวนนี้
จึง ได้ค้นหาถึงหนทางแห่งการขึ้นลงของชีวิตเช่นนี้ เสมือนหนึ่งนักวิเคราะห์หุ้น ประเมินความเสี่ยง ด้วยความพยายามหาแกนกลางแห่งการขึ้นลง พยายามทำให้เส้นแห่งสมดุลย์ปรากฎขึ้น ชีวิตและหัวใจจะได้ไม่ทำงานผกผันจน เกินเหตุ ไม่ต้องหวั่นใจยามดิ่ง และไม่ต้องฮึกเหิมยามทะยาน คำตอบของผู้รู้จึงมักพยายามบอกกล่าวแนวทางชีวิตไว้
ให้ เราท่านทั้งหลาย
ได้ระมัดระวังกายใจให้ดี
จะขึ้นจะลงจะตกต่ำหรือยิ่งใหญ่
ก็ให้พึงระมัดระวัง หัวใจตนเองให้ดี จะได้ไม่ฉุดกระชากหัวใจให้ต้องเจ็บช้ำ ในแต่ละความเปลี่ยนแปลงที่วิ่งเข้ามาสู่ชีวิต แต่ก็ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้จะบอกกล่าวกันได้ เพื่อตรงเข้าสู่หัวใจและสมอง จนออกมาเป็นความเข้าใจเพื่อปฏิบัติตนได้ถูกต้องทุกคน เพราะความยากเย็นของความจริงในโลกนี้ ก็คือ มายาของโลก
สิ่งลวงหรือคำหลอกล่อในแต่ละอารมณ์รู้สึก
ยามได้ลุ่มหลงมัวเมาไปด้วยกันนั้น
ยาก นักที่ใครจะติติงได้
ยิ่งในยามหัวใจระเริงอำนาจเช่นนั้น คำบอกกล่าวคำสอนแต่ครั้งอดีตยาวนาน ล้วนอาจลบเลือนจางหายไปแล้วก็เป็นได้ ไม่ใช่เพียงความจริงว่าวันนี้ จะมีสติเพียงพอต่อความเข้าใจเท่านั้น แต่สติวันวานและการตั้งเตือนบอกสอนตนเอง นับระยะจากที่ผ่านมาต่างหาก จะเป็นเครื่องนำใจ
คงไม่ต้องสรุป
ว่าสิ่งใดเป็นเครื่องพิสูจน์
หรือการ กระทำจะบอกกล่าวอนาคต
เพียงแต่ในห้วงยามนี้ ยามเห็นนักการเมืองผู้ทรงอำนาจ เดินอาดอาดเข้าสภา หรือย่างขาเข้ากระทรวงทบวงกรม จึงได้แต่มองและรอฟังคำตอบในแต่ละขณะของท่าน ไม่ว่าจะกล่าวถึงนโยบาย กล่าวอ้างอิงถึงสิ่งที่จะกระทำ กระทั่งไปสู่คำตอบในการถกเถียงตอบโต้ผู้คนรอบข้าง
ที่ เห็นด้วยก็อาจได้รับน้ำคำน้ำเสียงอันไพเราะ
ที่ คัดง้างกันก็พาจะได้ยินเสียงกร้าวร้าว
ห้วงยาม นี้คงไม่มีสิ่งใดจะมอบ
ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าความจริงที่จะมอบ ให้แด่ท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายในบ้านเมือง เพื่อกล่าวถึงเบื้องลึกในใจแห่ง อำนาจ ว่าอย่าพึงระเริงอำนาจจนเกินงาม ในห้วงยามนี้ แต่ละท่านต่างมีภารกิจอันยิ่งใหญ่ มอบไว้พร้อมกับความรับผิดชอบ และการจับจ้องมองดูของประชาชนคนไทย ขอท่านทั้งหลายได้โปรดใช้สติไตร่ตรองกับความจริงนี้เถิด
อีกประการหนึ่ง คึอต้องขออภัย
หากผม ไม่สามารถจะยืนกุมมือกางขาต่อหน้าท่านได้
เพราะ ตอนนี้ผมนั่งอยู่ นั่งในตำแหน่งที่กำลังจับจ้องมองดู
ถึงการกระทำของท่านทั้งหลาย
ขออภัย ครับ ท่าน
ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=219163
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น