วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หญิงหม้ายกับบุตร

สมัยเรียนชั้นประถม ประมาณ พ.ศ. 2517-18 มีเรื่องหนึ่งในหนังสือเรียน เรื่องหญิงหม้ายกับบุตร หนังสือนั้นหาไม่พบแล้ว ภายหลังได้ค้นเจอในอินเตอร์เน็ตจึงเก็บบันทึกไว้เป็นที่ระลึก และคิดว่าเป็นเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่มีคุณค่าและหล่อหลอมให้เกิดความซื่อสัตย์สุจริตในชีวิตประจำวัน ......


หญิงหม้ายคนหนึ่งจอดแพอยู่ที่พระนครศรีอยุธยา มีความประสงค์จะให้บุตรได้เล่าเรียนมีความรู้ จึงนำบุตรมาส่งที่สถานีรถไฟ จะให้ลงมาอยู่กับลุง และเรียนหนังสือในโรงเรียนที่กรุงเทพฯ หญิงคนนี้เป็นคนจน ตั้งแต่สามีถึงแก่กรรมแล้ว ก็ได้อาศัยการค้าขายเลี้ยงตัวมา บัดนี้เก็บเล็กประสมน้อย ได้เงินพอตัดเสื้อตัดกางเกงให้บุตร และเหลืออีกนิดหน่อยก็สำหรับเป็นค่ารถไฟ และค่าหนังสือเท่านั้น

เมื่อพาบุตรมาตามทางจึงพูดแก่บุตรว่า "อายุเจ้าครบ๑๒ ปีเมื่อวานนี้ ถ้าจะครบเอาพรุ่งนี้ก็จะดีทีเดียว จะได้เสียค่ารถไฟแต่เพียงครึ่งหนึ่ง เหลืออีกครึ่งหนึ่งเก็บเอาไว้ซื้ออะไรกินที่บางกอก แต่นี่อายุเต็ม ๑๒ ปีเสียแล้ว จะต้องเสียเต็มราคาเท่ากับผู้ใหญ่ แม่ก็ไม่มีเงินที่จะให้สำหรับให้เจ้าไปซื้ออะไรกินอีก"

บุตรแหงนดูมารดาแล้วอ้อนวอนว่า "นอกจากค่าหนังสือและค่ารถไฟนี้ แม่จะไม่ให้ฉันมีเงินติดตัวไปบ้างสักนิดหน่อยหรือ" พูดดังนั้นก็ทำตาแดงๆ มารดามีความเวทนา แทบจะให้เงิน ที่เหลืออยู่ไปแก่บุตรทั้งหมด แต่หากจนใจให้ไม่ได้ เพราะมีบุตรเล็กๆ ที่ต้องเลี้ยงอีกหลายคน จึงมิได้ให้

พอไปถึงสถานีไปขอซื้อตั๋วให้บุตร สำหรับไปกรุงเทพฯ เจ้าพนักงานขายตั๋วแลเห็นรูปร่างเด็กเป็นเด็กเล็ก จึงถามว่า "ตั๋วเด็กครึ่งราคาหรือจ๊ะ" หญิงหม้ายนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง ทำให้บุตรใจเต้นนึกว่ามารดาจะตอบแต่กระอ้อมกระแอ้มค่อยๆว่า "จ๊ะ" หรือนิ่งเสีย เป็นแต่เพียงพยักหน้ารับก็ได้ แต่มารดาก็หาได้ทำดังนั้นไม่ นิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วกลับตอบว่า "ไม่ใช่จ๊ะ อายุเกิน ๑๒ ปีแล้ว ตามข้อบังคับของกรมรถไฟ เห็นจะต้องเสียเต็มราคาเหมือนผู้ใหญ่กระมัง" เจ้าพนักงานก็ขายตั๋วอย่างสำหรับผู้ใหญ่ให้ หญิงหม้ายรับส่งให้บุตร แล้วกล่าวโดยยิ้มย่องว่า "ลูกเอ๋ย นี่แน่ะ ตั๋วกับคำจริง เก็บเอาใส่กระเป๋าไว้เถิด ดีกว่าได้เงินสองสามสลึง เพราะพูดปดหลอกลวงเขา"

พอส่งบุตรขึ้นรถไฟและลากันเสร็จแล้ว รถไฟก็ออก บุตรรู้สึกในใจว่าที่มารดาบอกความจริงแก่เขานั้น เป็นการถูกแล้ว ยิ่งเมื่อถึงกลางทาง คนตรวจตั๋วมาขอดูตั๋ว ยิ่งรู้สึกว่ามารดาทำถูกยิ่งขึ้น เพราะถ้าถือตั๋วครึ่งราคา อันเป็นตั๋วที่ไม่แสดงความจริงแล้ว จะแลดูหน้าคนตรวจตั๋วอย่างไรได้ แต่นี่มีตั๋วที่แสดงความจริง ได้ชื่อว่า เป็นผู้เดินทางอันสุจริตแท้แล้ว จะดูหน้าใครๆก็ได้ ไม่ต้องมีความสะทกสะท้าน เมื่อคนตรวจตั๋วส่งตั๋วคืนให้ แล้วพยักหน้าบอกว่า "ถูกต้องแล้ว" คำนี้ดังก้องอยู่ในใจของเด็กนั้น ทำให้ไม่ลืมคำจริงของมารดาเลย เมื่อรถไฟมาถึงกรุงเทพฯ เวลาค่ำ และเด็กนี้ได้พบกับลุงผู้มาคอยรับอยู่แล้ว จึงเดินตามลุงออกจากสถานีไป เวลาส่งตั๋วคืนให้ที่ทางออก ถึงแม้ว่ากระเป๋าไม่มีเงินติดเลย ก็ได้รับความรู้สึกอิ่มใจเป็นอย่างยิ่ง ในการที่ไม่ได้หลอกลวงปิดบังเงินค่าโดยสารของกรมรถไฟไว้ครึ่งหนึ่ง

ต่อมาภายหลัง เมื่อเด็กคนนั้น จะแสดงสิ่งใดที่ไม่จริง ก็นึกถึงคำของมารดาที่สถานี และคำว่าถูกต้องแล้ว ของคนตรวจตั๋วในรถไฟได้เสมอ ทำให้แสดงความเท็จออกไม่ได้ บทเรียนใดในโรงเรียนทั้งหมดที่ได้เรียนนั้น ไม่มีอะไรจะมีราคามากกว่าบทเรียน ที่ได้รับจากมารดา และคำจริงที่ใส่มาในกระเป๋าเปล่าแทนเงินที่จะโกงกรมรถไฟได้ เมื่อครั้งขึ้นรถไฟจากสถานีพระนครศรีอยุธยามาแต่เล็กๆนั้นเลย

ศุภชัย วิชากร : เรื่องหญิงหม้ายกับบุตรนี้ คัดมาจากหนังสืออ่าน ธรรมจริยา เล่ม ๕ ของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี

5 ความคิดเห็น:

  1. กำลังค้นหาเรื่องนี้อยู่พอดี ตอนนี้เกษียณแล้วจำไม่ได้ว่าว่าปฺ3หรือปฺ4

    ตอบลบ
  2. ประทับใจนิทานร้อยบรรทัด ปฺ1 ปฺ4

    ตอบลบ
  3. รู้สึก มีความสุขในใจ
    อยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กไทย มีเวลาอบรมชี้แนะ..แม้เพียงเวลาเพีบงน้อยนิด ที่ลูกได้สัมผัสความปราถนาดี อน่างจริงใจค่ะ

    ตอบลบ
  4. พอดีนึกขึ้นได้ว่าเคยเรียนอยู่ป.2ครูให้อ่านฟน้าห้องเรียนแต่ลืมเนื้อหาเลยเข้ามาอ่าน ขอบคุุณที่ยังมีเหลือให้ศึกษา

    ตอบลบ