วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เดินตามรอยเท้าพ่อ

 
   นานมาแล้วเมื่อประมาณปี 2538 ได้ดูรายการทางโทรทัศน์รายการหนึ่ง "ทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล" ร้องเพลงที่แต่งขึ้นจากพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี "เดินตามรอยเท้าพ่อ" ซึ่งไม่เคยได้ยินและได้เห็นที่ไหนมาก่อน ฟังครั้งแรกรู้สึกไพเราะจับใจมาก และแปลกใจมากที่จำได้ทั้งเนื้อร้องและทำนอง ทั้งที่ได้ฟังเพียงครั้งเดียว บทเพลงที่ร้อยกรองมาจากบทพระราชนิพนธ์นั้น พรรณนาจนเห็นภาพเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามผู้เป็นพ่อเข้าไปในป่าใหญ่ รก น่ากลัว สูงทึบเหมือนหอคอย
   ปี พ.ศ. 2550 ต้นเดือนตุลาคม เราสามคน (หม่ำ แบม และข้าพเจ้า) ได้เดินทางไปเที่ยวภูกระดึง ซึ่่งเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ทางอุทยานฯเพิ่งจะเปิดให้เข้าเป็นวันที่สองในรอบปีนั้น ทีแรกใจคิดอยากจะยกเลิกการเดินทางเพราะรถบีเอ็มสตาร์ทไม่ติด หม่ำบอกว่าสัญญากับแบมไว้แล้วเดี๋ยวจะเสียความตั้งใจ อ้าว!. ไปก็ไป จึงนำรถมิร่าสีแดงไปกัน คืนแรกพักที่ชัยภูมิ ฝนตกๆ หยุดๆ ตลอดทางเหมือนกัน เพราะมีประกาศว่าพายุเข้า ทั้งที่ใกล้จะหมดฤดูฝนแล้ว คืนนั้นไปกินข้าวที่ร้านข้าวต้มในเมืองชัยภูมิ ถนนหนทางมีน้ำท่วมขังเป็นช่วงๆ เช้าขึ้นก็ตื่นนอนตามสบายไม่รีบเร่งอะไร กินข้าว กว่าจะไปถึงตีนภูก็เกือบเที่ยง เลยกินข้าวกลางวันกันที่ร้านค้าตีนภูก่อนขึ้น กว่าจะเริ่มเดินขึ้นก็บ่ายโมงแล้ว เราเดินกันไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุดแวะกินอะไรกันไปเรื่อย ส้มตำ น้ำแข็งใส อะไรจำพวกนี้ ระหว่างที่เดินขึ้นไปมีคนเดินสวนลงมาบ้างไม่กี่คน เจ้าหน้าที่บอกว่าวันนี้มีคนขึ้นประมาณ 30 คน ซึ่งถือว่าน้อยมาก กว่าจะไปถึงหลังแปก็เริ่มเย็นแล้ว คงประมาณหกโมงเย็นเห็นจะได้
   ระหว่างทางจากหลังแปไปที่พักนั้น มีทางเดินช่วงหนึ่งลัดเลาะเข้าไปในป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ สองพ่อลูกเดินนำหน้า ทำให้นึกถึงบทเพลง "เดินตามรอยเท้าพ่อ" ที่เคยได้ดู "ทิพย์วัลย์ ปิ่นภิบาล" ขับร้องในรายการโทรทัศน์เมื่อหลายปีก่อน ภาพที่เห็นเบื้องหน้าซ้อนทับกับเนื้อหาในบทเพลงพอดี ในใจนึกอยากจะถ่ายภาพสองพ่อลูกเดินผ่านป่าใหญ่นี้ไว้ ..แต่มันเริ่มมืดเสียแล้ว พวกเราต้องรีบเดินกันเพราะกว่าจะถึงที่พักก็จะมืดค่ำพอดี
   การมาภูกระดึงคราวนี้เป็นครั้งที่สี่ของข้าพเจ้า แต่เป็นครั้งแรกของสองพ่อลูกนั่น ฝนตกพรำตลอด ทางเดินที่เคยเป็นทรายสีขาวละเอียดคราวนี้มีน้ำขังเป็นช่วงๆ ทากยืดตัวไปมาตลอดทาง แต่พวกเราก็ดูมีความสุขกันดี แบมเดินนำหน้า บางทีก็รั้งท้าย นานๆพ่อจะให้ขี่คอสักที ปล่อยให้เดินชมธรรมชาติไปเรื่อย น้ำกินก็ลืมเอาติดตัวมา หม่ำเอาผ้ายางของเสื้อกันฝนรองน้ำฝนที่ค้างตามใบไม้ เขย่าๆ รวมกันให้แบมกินแก้กระหายก่อนจนกว่าจะเจอร้านค้า
   ช่วงที่ถึงสระอโนดาตนี่ก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่ภูกระดึงเสียแล้ว เพราะแขวนหมวกกับกล้องไว้ตรงป้ายบอกทางแล้วลืมหยิบมา หลังจากข้ามช่วงที่เป็นทางน้ำเข้าสระมาแล้วจึงนึกขึ้นได้ น้ำในเวลานั้นไหลแรงเพราะมีปริมาณน้ำมาก ร่องน้ำก็กว้างและพื้นก็ลื่น กว่าจะข้ามมาได้ก็แสนลำบาก ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินข้ามร่องน้ำกลับไปเพื่อเอากล้องกับหมวกที่ลืมไว้ แต่ขากลับดันลื่นล้มหัวเกือบฟาดกับแผ่นหิน..ดีที่รีบยกหัวขึ้น สุดท้ายหมวกใบนั้นก็หลุดและลอยน้ำไป กล้องเปียกน้ำนิดหน่อย แต่ที่ร้ายสุดอีกอย่างคือตัวเปียกเกือบหมด หนาวมากเลยทีนี้..
   การเดินทางในวันนั้นทีแรกตั้งใจว่าจะเดินไปให้ถึงผาหล่มสัก เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ อยากไปถ่ายรูปที่หน้าผานี้อีกสักครั้ง แต่ก็ไปไม่ถึงเพราะยังต้องเดินอีกไกลมาก ฝนก็ตกเป็นละอองอยู่เรื่อยๆ ทางเดินก็มีแต่น้ำเดินกันลำบากพอสมควร คิดว่าถ้าไปผาหล่มสักกว่าจะกลับถึงที่พักคงมืด ไม่ปลอดภัยแน่
   ระหว่างทางไปผาเหยียบเมฆพวกเราแวะที่ร้านค้าร้านแห่งหนึ่งในเวลาเกือบบ่ายสอง เราเจอที่หมายแล้วเพราะเริ่มหิว รีบเดินเข้าไปสั่งอาหาร ..ส้มต้ม ไข่ปิ้ง ขนม มากินกัน ในร้านมีแต่เราสามคนไม่เห็นมีนักท่องเที่ยวสักคนเดียว พอมาถึงผาเหยียบเมฆเจอผู้ชายคนหนึ่งถือกล้องและถ่ายรูปวิวไปมา พอเห็นพวกเราจึงขอให้เราช่วยถ่ายให้บ้าง นึกในใจ.ไอ้หมอนี่คงบ้า!. มาภูกระดึงคนเดียว เขาบอกว่าขึ้นมาตั้งแต่ตีห้าแล้วจะลงวันนี้เลย เราคิดว่ามันคงบ้าแน่ๆ ..พวกเราถ่ายรูปกันนิดหน่อยแล้วรีบเดินเลาะหน้าผากลับ ช่วงนี้ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าจะเดินรั้งท้าย แดดไม่มีทั้งวัน แต่รู้สึกว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว
   เดินมาใกล้ถึงที่พักแล้ว ชักไม่ไหว. มีอาการเหนื่อยมาก หายใจแทบไม่ทัน ..ไม่ไหวแล้ว ข้าพเจ้าต้องบอกให้หม่ำหยุดเดิน..พักเดี๋ยวนี้ อาศัยยืนเกาะมัน หายใจหอบแรงมาก นานเหมือนกันกว่าจะหายเหนื่อย พอไหวจึงเดินต่อ.. ฝนยังพรำอยู่เลย บางครั้งเป็นละอองเล็กๆ ถึงที่พักพวกเรากินข้าวที่ร้านใกล้ๆ แล้วกลับมานอนที่บ้านพัก
   วันกลับ พวกเราเก็บสัมภาระ แล้วไปกินข้าว หม่ำช่วยหิ้วสัมภาระทั้งปวง  เอาของมาให้ลูกหาบแบกลงไป ระหว่างทางเดินกลับมีหมอกหนามาก วันนี้หมอกเยอะดี สวยจริงๆ ฝนก็เลิกตกแล้ว อากาศเย็นสบาย ..ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เป็นอย่างนี้บ้างหนอ
   เดินกันมาไกลพอสมควรแต่ไม่ค่อยเหนื่อย ใกล้ถึงบริเวณป่าตรงที่คิดอยากจะถ่ายรูปแล้ว ปล่อยสองพ่อลูกเดินนำไปโดยไม่ได้บอกอะไร แบมเดินตามพ่อไปห่างๆ ข้าพเจ้าถ่ายรูปสองพ่อลูกเดินผ่านป่าที่มีละอองหมอก ต้นไม้ใหญ่ดูครึ้มทะมึนเหมือนที่เคยคิดไว้..กดได้มาสองสามภาพ ภาพสองพ่อลูกนี่แหละ คือภาพประทับใจที่มาจากบทเพลงเดินตามรอยเท้าพ่อ ที่เคยฟังในปี 2538
   วันหนึ่งดูรายการโทรทัศน์ที่บ้าน เจอรายการสดที่ ทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล เป็นผู้จัดรายการจึงลองโทรไปถามถึงเพลงตามรอยเท้าพ่อที่เคยฟังเมื่อปี 2538  คุณทิพวัลย์บอกว่าขอบคุณที่ยังจำได้ เพลง "เดินตามรอยเท้าพ่อ" ที่เธอร้องในครั้งนั้น เป็นรายการถ่ายทอดสดในงานกาชาดคอนเสริต์ร่วมกับวงดุริยางค์ทหารเรือ ไม่มีบันทึกไว้ และบอกถึงที่มาพร้อมชื่อผู้แต่งเนื้อร้องให้ทราบ 
   วันนี้บังเอิญมาเจอเพลงนี้แล้ว แต่เป็นการขับร้องใหม่ในปี 2554 จึงบันทึกไว้ในความทรงจำ..
https://www.youtube.com/watch?v=XjIPGKJwypM
   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น