ธรรมที่เป็นจริง แยกออกได้เป็นสอง คือ
สัจจธรรมในทางโลกอย่างหนึ่ง
สัจจธรรมในทางธรรมอย่างหนึ่ง
สัจจธรรมในทางโลกก็ได้แก่ เหตุผลที่มีที่เป็นอยู่ในโลก
เช่น ฝนตกดินเปียกแดดออกดินแห้ง หรือฟ้าผ่า สิ่งที่ถูกฟ้าผ่า
ทลายหักพัง นี่เป็นสัจจธรรมธรรมที่เป็นจริงในทางโลก
เมื่อ ผู้สนใจจะรู้สัจจธรรมในทางโลก เขาก็เรียนเหตุผลในทาง
โลกกัน จนจับได้อย่างละเอียด นำมาทำของที่ยังไม่มีไม่เป็น ให้มี
ให้เป็นขึ้น เช่น เรือบิน เรือดำน้ำ เป็นต้น
ส่วนสัจจธรรมที่เป็นใน ทางธรรมนั้น ก็คือ สัจจธรรมที่มีบุคคล
บุคคล ตามธรรมดา ว่าตามทางพระพุทธศาสนายังไม่เป็นคนดีคน
ชัว เมื่อยังไม่ได้ทำอะไรไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้คิดอะไรที่เป็นดีหรือ
เป็น ชั่ว พึงนึกดูเด็ก ๆ เมื่อเขายังไม่รู้จักดีชั่วผิดถูก เขาก็ไม่แสดง
อาการดี อาการชั่วออกมาให้ปรากฏ เป็นแต่แสดงอาการอย่าง
เด็ก ๆ ที่ไม่นิยมยึดถือกันว่าเป็น คนดีเป็นชั่ว ต่อเมื่อบุคคลนั้น
แหละเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว ทำดีออกไปเป็นเหตุ ก็ปรากฏผลให้เป็น
คน ดี ทำชั่วออกไปเป็นเหตุก็ปรากฏเป็นคนชั่ว
นี่เป็นสัจจธรรมในภายใน หรือสัจจธรรม ทางธรรม และมีที่บุคคล
ตลอด จนถึงมรรคผลนิพพาน อันเป็นสัจจธรรมชั้นสูง ก็ปรากฏที่
บุคคลนั่นเอง ถ้าไม่มีบุคคล มรรคผลนิพพานก็ไม่ปรากฏ
ดี ชั่วจึงปรากฏที่บุคคล เหตุผลที่มีที่บุคคล
นี่แหละเป็นสัจจธรรมทางธรรม
ถ้าออกไปเกี่ยวข้องกับโลกธาตุเป็นสัจจธรรมทางโลก
ทางพระ พุทธศาสนามุ่งแสดงสัจจธรรมเกี่ยวกับคนเป็นใหญ่
ไม่ได้มุ่งสอนทางโลก หรือเหตุผลทางโลก
เพราะอะไร เพราะว่าคนที่แม้จะรู้จักเหตุผลทางโลกแล้ว
นำมาประกอบให้เป็นสิ่งต่าง ๆ ขึ้น และนำมาใช้ในทางชั่ว
เช่น ทำลายล้างกันก็ได้ผลชั่วเป็นทุกข์
แต่ ถ้าคนเป็นคนดีแล้ว นำสิ่งของที่ทำขึ้นมาทำนุบำรุงกันก็ได้ผลดี
เป็นสุขหลักสำคัญจึงอยู่ที่คน
ถ้ารู้จักเหตุผลทั้งส่วนดีทั้งส่วนชั่วแล้ว ต้องการผลดีไม่ต้องการ
ผล ชั่ว ก็จะได้ทำเหตุที่ดีเพื่อจะได้ผลดี
ไม่ทำเหตุที่ชั่วเพื่อจะไม่ต้องได้ผลชั่ว
ทั้งสำหรับตัว ทั้งสำหรับคนที่อยู่ด้วยกัน
เมื่อคนมุ่งทางธรรมอยู่เช่นนี้อยู่ด้วยกัน แม้จะมีสิ่งของที่ไม่ได้
เกิด ขึ้นใช้ทันสมัย ก็อยู่ด้วยกันเป็นสุข ไม่เบียดเบียนกัน
แต่ถ้าไม่มีหลักธรรมในตนแล้ว อยู่ด้วยกันเป็นทุกข์
เพราะเบียดเบียนกัน
พระพุทธเจ้ามุ่งสอนคนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว
จึง ทรงแสดงสัจจธรรม ที่บุคคลตั้งแต่เบื้องต้นไปจนถึงเบื้องสูง
อีกปริยายหนึ่ง สัจจธรรม ธรรมที่เป็นจริงโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว
ก็แยกได้เป็น ๒ คือ สัจจธรรมอันเป็นภายนอก
คือนอกจากคนอันมีอันเป็นไปในโลกส่วนหนึ่ง สัจจธรรมอันมีที่
บุคคล ปรากฏที่บุคคล อันเป็นภายในอีกส่วนหนึ่ง
สัจจธรรมภายนอกอันเป็นไปปรากฏอยู่ในโลกนั้น ย่อมเป็นเหตุผล
ใน ภายนอก เมื่อบุคคลสนใจค้นคว้าแสวงหา ก็สามารถจะนำมา
ประกอบให้สำเร็จเป็นสิ่งที่ตนประสงค์ ทำสิ่งที่ยังไม่มีให้มีปรากฏ
ขึ้น ได้ เช่นสิ่งของทั้งหลายต่าง ๆ อันยังไม่เคยมีไม่เคยเป็น
ถ้าบุคคลไม่รู้สัจจธรรมตาม เหตุและผล ก็ไม่สามารถจะนำมา
ประกอบ ให้ปรากฏให้เกิดขึ้นใหม่ได้ แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อ
ความสุข หรือไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์โดยตรง
เพราะบุคคลอาจนำสิ่งที่ทำให้ เกิดให้มีขึ้นนั้นไปใช้ในทางดีได้
ไปใช้ในทางชั่วก็ได้ ถ้านำไปใช้ในทางดี ก็ให้เกิดผลเป็นสุข
ถ้า นำไปใช้ในทางชั่ว ก็ให้เกิดผลเป็นทุกข์ ดังที่ปรากฏเห็นกันอยู่
ในปัจจุบันนี้
ส่วนสัจจธรรมที่มีในภายใน คือที่ตนเองนั้น เป็นหลักสำคัญ
เพราะเมื่อบุคคลในใจค้นคว้าแสวงหาให้รู้ตามเป็นจริง ว่า นี้เป็น
เหตุผล ส่วนดี นี้เป็นเหตุผลส่วนชั่ว พยายามทำเหตุที่ดีให้เกิดขึ้น
ให้บรรลุถึงผลคือความเป็นคนดี พยายามละเหตุที่ชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว
ไม่ ให้มีอยู่เพราะระวังเหตุที่ชั่วที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดก็จะพ้นจากผล
คือความเป็นคนชั่ว
บุคคลที่บรรลุถึงผลคือความเป็นคนดีพ้นจากผลคือความเป็น
คนชั่วเช่นนี้ แม้ในชั้นต้นก็ย่อมทำตนให้เป็นคนดี ไม่ทำให้ผู้อื่น
เดือด ร้อนเป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น ทางพระพุทธศาสนาจึงมุ่งประกาศสัจจธรรม
ที่บุคคล ให้บุคคลค้นคว้าแสวงหาให้รู้จักว่าอะไรเป็นส่วนดี อะไร
เป็นส่วนชั่ว เมื่อรู้ตามเป็นจริงแล้ว ทำส่วนที่ดีให้เกิด ละส่วนที่ชั่ว
เสีย เมื่อนำสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นไปใช้ ก็จะนำไปใช้ในทางดีทางชอบ
ให้เกิดสุขแก่ตน และแก่บุคคลอื่น ไม่นำไปใช้ในทางชั่ว ทางผิด
ซึ่ง ให้เกิดทุกข์แก่ตนและแก่บุคคลอื่น
ส่วนที่ดีที่ชอบอันสูงๆขึ้นไปโดยลำดับ ก็เรียกว่าพรหมจรรย์ แต่เป็นไปตามชั้น
สัจจธรรม ธรรมที่เป็นจริงนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น