วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

สังสารวัฎ กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้

สังสารวัฎ จากพระโอษฐ์ 
๑. ติณกัฏฐสูตร 
เล่มที่ ๑๖


[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัส
ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้
ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ 

[๔๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัดทอนหญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัดๆ ละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่า นี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเราโดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด 

ส่วนว่า หญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูน ปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนาน เหมือนฉะนั้น 
  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อ
หน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ ...จบสูตรที่ ๑
๒. ปฐวีสูตร 
[๔๒๓] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ 
[๔๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษปั้นมหาปฐพีนี้ให้เป็นก้อน ก้อนละเท่าเม็ดกระเบาแล้ววางไว้ สมมติว่า นี้เป็นบิดาของเรา นี้เป็นบิดาของบิดาของเราโดยลำดับ บิดาของบิดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด ส่วนมหาปฐพีนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวย
ทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนานเหมือนฉะนั้น 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวงพอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ ...จบสูตรที่ ๒
๓. อัสสุสูตร 
[๔๒๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน น้ำตาที่หลั่งไหลของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะ
พลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้ กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ สิ่งไหนจะมากกว่ากัน ฯ 
.. ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ย่อมทราบธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกข้าพระองค์ ผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะการประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้แหละ มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ฯ 
[๔๒๖] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละ ๆ พวกเธอทราบธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ ถูกแล้ว น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกเธอ ผู้ท่องเที่ยวไปมา ฯลฯ โดยกาลนานนี้แหละ มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา คร่ำครวญร้องไห้อยู่เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจนั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดา ... ของพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว ... ของบุตร ... ของธิดา ... ความเสื่อมแห่งญาติ ... ความเสื่อมแห่งโภคะ ... ได้ประสบความเสื่อมเพราะโรค ตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่
มากกว่าเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ฯลฯ
..ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ ...จบสูตรที่ ๓ 
๔. ขีรสูตร 
[๔๒๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ฯลฯ เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน น้ำนมมารดาที่พวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมาอยู่โดยกาลนานนี้ ดื่มแล้ว กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไหนจะมากกว่ากัน ฯ 
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ย่อมทราบธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว น้ำนมมารดาที่พวกข้าพระองค์ ผู้ท่องเที่ยวไปมาอยู่โดยกาลนาน ดื่มแล้วนั่นแหละมากกว่า น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ฯ 
[๔๒๘] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละๆ พวกเธอทราบธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ ถูกแล้ว น้ำนมมารดาที่พวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมาอยู่โดยกาลนาน ดื่มแล้วนั่นแหละ มากกว่า น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ ...จบสูตรที่ ๔
๕. ปัพพตสูตร 
[๔๒๙] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ฯลฯ เมื่อภิกษุรูปนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า 
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนึ่งนานเพียงไรหนอแล
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ กัปหนึ่งนานแล มิใช่ง่ายที่จะนับกัป นั้นว่าเท่านี้ปี เท่านี้ ๑๐๐ ปี เท่านี้ ๑,๐๐๐ ปี หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ฯ
ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า ฯ 
[๔๓๐] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ดูกรภิกษุ เหมือนอย่างว่า ภูเขาหินลูกใหญ่ยาวโยชน์หนึ่ง กว้างโยชน์หนึ่ง สูง
โยชน์หนึ่ง ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ บุรุษพึงเอาผ้าแคว้นกาสีมาแล้วปัดภูเขานั้น ๑๐๐ ปีต่อครั้ง ภูเขาหินลูกใหญ่นั้น พึงถึงการหมดไปสิ้นไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงการหมดไป สิ้นไป กัปนานอย่างนี้แล 
บรรดากัปที่นานอย่างนี้ พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้ว มิใช่หนึ่งกัป มิใช่ร้อยกัป มิใช่พันกัป มิใช่แสนกัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ...จบสูตรที่ ๕
..... คัดลอกมาจาก : https://www.gotoknow.org/posts/215755

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เดินตามรอยเท้าพ่อ

 
   นานมาแล้วเมื่อประมาณปี 2538 ได้ดูรายการทางโทรทัศน์รายการหนึ่ง "ทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล" ร้องเพลงที่แต่งขึ้นจากพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี "เดินตามรอยเท้าพ่อ" ซึ่งไม่เคยได้ยินและได้เห็นที่ไหนมาก่อน ฟังครั้งแรกรู้สึกไพเราะจับใจมาก และแปลกใจมากที่จำได้ทั้งเนื้อร้องและทำนอง ทั้งที่ได้ฟังเพียงครั้งเดียว บทเพลงที่ร้อยกรองมาจากบทพระราชนิพนธ์นั้น พรรณนาจนเห็นภาพเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามผู้เป็นพ่อเข้าไปในป่าใหญ่ รก น่ากลัว สูงทึบเหมือนหอคอย
   ปี พ.ศ. 2550 ต้นเดือนตุลาคม เราสามคน (หม่ำ แบม และข้าพเจ้า) ได้เดินทางไปเที่ยวภูกระดึง ซึ่่งเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ทางอุทยานฯเพิ่งจะเปิดให้เข้าเป็นวันที่สองในรอบปีนั้น ทีแรกใจคิดอยากจะยกเลิกการเดินทางเพราะรถบีเอ็มสตาร์ทไม่ติด หม่ำบอกว่าสัญญากับแบมไว้แล้วเดี๋ยวจะเสียความตั้งใจ อ้าว!. ไปก็ไป จึงนำรถมิร่าสีแดงไปกัน คืนแรกพักที่ชัยภูมิ ฝนตกๆ หยุดๆ ตลอดทางเหมือนกัน เพราะมีประกาศว่าพายุเข้า ทั้งที่ใกล้จะหมดฤดูฝนแล้ว คืนนั้นไปกินข้าวที่ร้านข้าวต้มในเมืองชัยภูมิ ถนนหนทางมีน้ำท่วมขังเป็นช่วงๆ เช้าขึ้นก็ตื่นนอนตามสบายไม่รีบเร่งอะไร กินข้าว กว่าจะไปถึงตีนภูก็เกือบเที่ยง เลยกินข้าวกลางวันกันที่ร้านค้าตีนภูก่อนขึ้น กว่าจะเริ่มเดินขึ้นก็บ่ายโมงแล้ว เราเดินกันไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุดแวะกินอะไรกันไปเรื่อย ส้มตำ น้ำแข็งใส อะไรจำพวกนี้ ระหว่างที่เดินขึ้นไปมีคนเดินสวนลงมาบ้างไม่กี่คน เจ้าหน้าที่บอกว่าวันนี้มีคนขึ้นประมาณ 30 คน ซึ่งถือว่าน้อยมาก กว่าจะไปถึงหลังแปก็เริ่มเย็นแล้ว คงประมาณหกโมงเย็นเห็นจะได้
   ระหว่างทางจากหลังแปไปที่พักนั้น มีทางเดินช่วงหนึ่งลัดเลาะเข้าไปในป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ สองพ่อลูกเดินนำหน้า ทำให้นึกถึงบทเพลง "เดินตามรอยเท้าพ่อ" ที่เคยได้ดู "ทิพย์วัลย์ ปิ่นภิบาล" ขับร้องในรายการโทรทัศน์เมื่อหลายปีก่อน ภาพที่เห็นเบื้องหน้าซ้อนทับกับเนื้อหาในบทเพลงพอดี ในใจนึกอยากจะถ่ายภาพสองพ่อลูกเดินผ่านป่าใหญ่นี้ไว้ ..แต่มันเริ่มมืดเสียแล้ว พวกเราต้องรีบเดินกันเพราะกว่าจะถึงที่พักก็จะมืดค่ำพอดี
   การมาภูกระดึงคราวนี้เป็นครั้งที่สี่ของข้าพเจ้า แต่เป็นครั้งแรกของสองพ่อลูกนั่น ฝนตกพรำตลอด ทางเดินที่เคยเป็นทรายสีขาวละเอียดคราวนี้มีน้ำขังเป็นช่วงๆ ทากยืดตัวไปมาตลอดทาง แต่พวกเราก็ดูมีความสุขกันดี แบมเดินนำหน้า บางทีก็รั้งท้าย นานๆพ่อจะให้ขี่คอสักที ปล่อยให้เดินชมธรรมชาติไปเรื่อย น้ำกินก็ลืมเอาติดตัวมา หม่ำเอาผ้ายางของเสื้อกันฝนรองน้ำฝนที่ค้างตามใบไม้ เขย่าๆ รวมกันให้แบมกินแก้กระหายก่อนจนกว่าจะเจอร้านค้า
   ช่วงที่ถึงสระอโนดาตนี่ก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่ภูกระดึงเสียแล้ว เพราะแขวนหมวกกับกล้องไว้ตรงป้ายบอกทางแล้วลืมหยิบมา หลังจากข้ามช่วงที่เป็นทางน้ำเข้าสระมาแล้วจึงนึกขึ้นได้ น้ำในเวลานั้นไหลแรงเพราะมีปริมาณน้ำมาก ร่องน้ำก็กว้างและพื้นก็ลื่น กว่าจะข้ามมาได้ก็แสนลำบาก ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินข้ามร่องน้ำกลับไปเพื่อเอากล้องกับหมวกที่ลืมไว้ แต่ขากลับดันลื่นล้มหัวเกือบฟาดกับแผ่นหิน..ดีที่รีบยกหัวขึ้น สุดท้ายหมวกใบนั้นก็หลุดและลอยน้ำไป กล้องเปียกน้ำนิดหน่อย แต่ที่ร้ายสุดอีกอย่างคือตัวเปียกเกือบหมด หนาวมากเลยทีนี้..
   การเดินทางในวันนั้นทีแรกตั้งใจว่าจะเดินไปให้ถึงผาหล่มสัก เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ อยากไปถ่ายรูปที่หน้าผานี้อีกสักครั้ง แต่ก็ไปไม่ถึงเพราะยังต้องเดินอีกไกลมาก ฝนก็ตกเป็นละอองอยู่เรื่อยๆ ทางเดินก็มีแต่น้ำเดินกันลำบากพอสมควร คิดว่าถ้าไปผาหล่มสักกว่าจะกลับถึงที่พักคงมืด ไม่ปลอดภัยแน่
   ระหว่างทางไปผาเหยียบเมฆพวกเราแวะที่ร้านค้าร้านแห่งหนึ่งในเวลาเกือบบ่ายสอง เราเจอที่หมายแล้วเพราะเริ่มหิว รีบเดินเข้าไปสั่งอาหาร ..ส้มต้ม ไข่ปิ้ง ขนม มากินกัน ในร้านมีแต่เราสามคนไม่เห็นมีนักท่องเที่ยวสักคนเดียว พอมาถึงผาเหยียบเมฆเจอผู้ชายคนหนึ่งถือกล้องและถ่ายรูปวิวไปมา พอเห็นพวกเราจึงขอให้เราช่วยถ่ายให้บ้าง นึกในใจ.ไอ้หมอนี่คงบ้า!. มาภูกระดึงคนเดียว เขาบอกว่าขึ้นมาตั้งแต่ตีห้าแล้วจะลงวันนี้เลย เราคิดว่ามันคงบ้าแน่ๆ ..พวกเราถ่ายรูปกันนิดหน่อยแล้วรีบเดินเลาะหน้าผากลับ ช่วงนี้ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าจะเดินรั้งท้าย แดดไม่มีทั้งวัน แต่รู้สึกว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว
   เดินมาใกล้ถึงที่พักแล้ว ชักไม่ไหว. มีอาการเหนื่อยมาก หายใจแทบไม่ทัน ..ไม่ไหวแล้ว ข้าพเจ้าต้องบอกให้หม่ำหยุดเดิน..พักเดี๋ยวนี้ อาศัยยืนเกาะมัน หายใจหอบแรงมาก นานเหมือนกันกว่าจะหายเหนื่อย พอไหวจึงเดินต่อ.. ฝนยังพรำอยู่เลย บางครั้งเป็นละอองเล็กๆ ถึงที่พักพวกเรากินข้าวที่ร้านใกล้ๆ แล้วกลับมานอนที่บ้านพัก
   วันกลับ พวกเราเก็บสัมภาระ แล้วไปกินข้าว หม่ำช่วยหิ้วสัมภาระทั้งปวง  เอาของมาให้ลูกหาบแบกลงไป ระหว่างทางเดินกลับมีหมอกหนามาก วันนี้หมอกเยอะดี สวยจริงๆ ฝนก็เลิกตกแล้ว อากาศเย็นสบาย ..ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เป็นอย่างนี้บ้างหนอ
   เดินกันมาไกลพอสมควรแต่ไม่ค่อยเหนื่อย ใกล้ถึงบริเวณป่าตรงที่คิดอยากจะถ่ายรูปแล้ว ปล่อยสองพ่อลูกเดินนำไปโดยไม่ได้บอกอะไร แบมเดินตามพ่อไปห่างๆ ข้าพเจ้าถ่ายรูปสองพ่อลูกเดินผ่านป่าที่มีละอองหมอก ต้นไม้ใหญ่ดูครึ้มทะมึนเหมือนที่เคยคิดไว้..กดได้มาสองสามภาพ ภาพสองพ่อลูกนี่แหละ คือภาพประทับใจที่มาจากบทเพลงเดินตามรอยเท้าพ่อ ที่เคยฟังในปี 2538
   วันหนึ่งดูรายการโทรทัศน์ที่บ้าน เจอรายการสดที่ ทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล เป็นผู้จัดรายการจึงลองโทรไปถามถึงเพลงตามรอยเท้าพ่อที่เคยฟังเมื่อปี 2538  คุณทิพวัลย์บอกว่าขอบคุณที่ยังจำได้ เพลง "เดินตามรอยเท้าพ่อ" ที่เธอร้องในครั้งนั้น เป็นรายการถ่ายทอดสดในงานกาชาดคอนเสริต์ร่วมกับวงดุริยางค์ทหารเรือ ไม่มีบันทึกไว้ และบอกถึงที่มาพร้อมชื่อผู้แต่งเนื้อร้องให้ทราบ 
   วันนี้บังเอิญมาเจอเพลงนี้แล้ว แต่เป็นการขับร้องใหม่ในปี 2554 จึงบันทึกไว้ในความทรงจำ..
https://www.youtube.com/watch?v=XjIPGKJwypM
   

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทำบุญวันเกิด

วันเกิดปีนี้ 22 กรกฎาคม 2554
ชวนเพื่อนร่วมงาน บรรดาน้องๆทั้งหลายไปทำบุญ ถวายสังฆทานที่วัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์)
และรับประทานอาหารกลางวันที่พระพุทธบาท
ตอนเย็นไปทำบุญด้วยการบริจาคเงินที่โรงพยาบาลเสาไห้ และไหว้พระปางลีลาที่หน้าโรงพยาบาล
สิ่งที่ตั้งใจทำในวันนี้ สำเร็จดังตั้งใจทุกประการ
ขออุทิศบุญกุศลทั้งหลายให้แก่ผู้มีพระคุณ ได้แก่ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ และญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวรทั้งปวง เทวดา เปรต สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ร่วมเกิดแ่ก่เจ็บตายที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกิน
และขออฐิษฐานให้มีดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า แคล้วคลาดจากภัยใดๆทั้งปวง

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มีสติก่อนจะตาย..พุทธทาส

ดับไม่เหลือ

อย่าเข้าใจว่าต้องเรียนมาก ต้องปฏิบัติลำบากจึงพ้นได้
ถ้ารู้จริงสิ่งเดียวก็ง่ายดาย รู้ดับให้ไม่มีเหลือเชื่อก็ลอง
เมื่อเจ็บไข้ความตายจะมาถึง อย่าพรั่นพรึงหวาดไหวให้หม่นหมอง
ระวังให้ดีดีนาทีทอง คอยจดจ้องให้ตรงจุดหยุดให้ทัน
ถึงนาทีสุดท้ายอย่าให้พลาด ตั้งสติไม่ประมาทเพื่อดับขันธ์
ด้วยจิตว่างปล่อยวางทุกสิ่งอัน สารพันไม่ยึดครองเป็นของเรา
ตกกระไดพลอยโจนให้ดีดี จะถึงที่มุ่งหมายได้ง่ายเข้า
สมัครใจดับไม่เหลือเมื่อไม่เอา ก็ " ดับเรา " ดับตนดลนิพพาน